Disaster recovery หรือเรียกสั้นๆว่า DR หรือหมายถึง การกู้คืนข้อมูลเมื่อเกิดภัยพิบัติ โดยทั่วไปเเล้วถ้า องค์กรไหนต้องการมี DR ก็ต้องลงทุน H/W, เเละ S/W ไว้รองรับไว้ที่ site สำรองเพื่อทำงานทดเเทน เมื่อไม่สามารถทำงานที่ site หลักได้ ซึ่งฟังดูเหมือนง่าย เเต่เเท้ที่จริงเเล้วมีความซับซ้อนในการสร้างมากๆ ปัจจุบันเราทุกคนอยู่ในยุค always-on หรือยุคที่พร้อมใช้งานในการเชื่อมต่อโลก internet โดยไม่สามารถรอการใช้งานเมื่อเกิด downtime ได้ ซึ่งลองคิดดู ถ้าทุกท่านไม่สามารถใช้ Facebook หรือ Line ได้เพียงเเค่ครึ่งชั่วโมง จะรู้สึกอย่างไรกัน การทำ Disaster Recovery จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นสำหรับทุกองค์กรในทุกวันนี้ และความนิยมในการทำ Disaster Recovery บน Cloud เป็นบริการแบบ Disaster Recovery-as-a-Service หรือ DRaaS เองก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทำไมต้องมี DR Site?
หากถามถึงความจำเป็นของ DR Site ต่อองค์กร ว่าควรจะต้อง มีหรือไม่นั้น ตอบคำคือ ปัจจุบันในแต่ละธุรกิจ ล้วนมีการแข่งขัน ที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นการที่องค์กรจะการันตี ระบบในการให้ บริการกับลูกค้าได้ตลอดเวลานั้นมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ จึงมีความจำเป็นจะต้องมีระบบสำรองสำหรับป้องกันความเสียหายกับเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ที่อาจจะเกิด ผลกระทบต่อธุรกิจ โดยเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้ มีทั้งที่เกิดจากฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ ซึ่งจะทำให้ระบบไม่สามารถใช้งานได้ จากนั้นองค์กร จำต้องทำการประกาศแผน DR ขึ้น โดยลำดับถัดไปก็จะเข้าสู่ การกู้คืนระบบและเปิดใช้บริการต่างๆ ขององค์กรผ่านออนไลน์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงระบบผ่านอินเทอร์เน็ตได้ โดยไม่ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขององค์กร
ประเด็นทางด้านการรักษาความปลอดภัยของระบบงานในองค์กร
เรื่องของ Security เองก็เป็นประเด็นสำหรับสำหรับศูนย์ข้อมูลสำรอง ซึ่งโดยทั่วไปการลงทุนระบบ Disaster Recovery เองนั้นก็ต้องมีการลงทุนระบบรักษาความปลอดภัยสำรองเอาไว้ด้วยเช่นกัน เพื่อให้ระบบที่จะขึ้นในฝั่งของศูนย์ข้อมูลสำรองนั้นสามารถทำงานทดแทนศูนย์ข้อมูลหลักได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายลงในการลงทุน Disaster Recovery บน On-premises Data Center ทุกวันนี้จึงนิยมลงทุนระบบรักษาความปลอดภัยในแบบ Virtual Appliance เพื่อลดความซับซ้อนในการติดตั้งใช้งานและดูแลรักษาไปด้วยในตัว ซึ่งในแง่มุมนี้ระบบ Disaster Recovery บน Cloud นั้นก็สามารถรองรับได้ไม่ต่างกัน
ประเด็นทางด้านความง่ายในการเพิ่มขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูล
ในการลงทุน On-premises Disaster Recovery Data Center นั้น องค์กรจำเป็นจะต้องมีการลงทุนระบบ Storage และ Storage Network ให้มีพื้นที่ความจุเผื่อเอาไว้สำหรับการทำ Backup ย้อนหลัง และการเผื่อเพิ่มเติมพื้นที่ในอนาคตโดยไม่ต้องมี Downtime ในขณะที่ระบบ Cloud Disaster Recovery นั้นจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับองค์กรได้ด้วยความสามารถในการเพิ่มขยายพื้นที่ความจุได้ทันทีที่ต้องการ ทำให้องค์กรสามารถลงทุนได้แบบ Pay as You Grow หรือการจ่ายตามปริมาณที่ใช้งานจริงอย่างแท้จริง
สรุปข้อดีของการทำ Disaster Recovery แบบ On-premises
- องค์กรได้ลงทุนเองและดูแลรักษาระบบศูนย์ข้อมูลสำรองด้วยตัวเองทั้งหมด
- สามารถออกแบบ Data Center ได้ตามระดับมาตรฐานที่ต้องการ
- สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการทำ Disaster Recovery ได้อย่างอิสระ
- สามารถเพิ่มเติมเทคโนโลยีในการรักษาความปลอดภัยแบบ Virtual และ Physical ได้อย่างอิสระ
สรุปข้อดีของการทำ Disaster Recovery แบบ Cloud
- สามารถเริ่มต้นทำ Disaster Recovery ได้แทบจะทันทีอย่างรวดเร็ว
- องค์กรสามารถเลือกผู้ให้บริการที่ให้บริการได้ตามมาตรฐานที่ต้องการ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างเองหรือจ้างพนักงานเพิ่มเติมมาดูแลเอง
- สามารถทดสอบเทคโนโลยีในการทำ Disaster Recovery ของผู้ให้บริการแต่ละรายได้ทันที ทำให้สามารถมั่นใจในการใช้งานได้
- ยืดหยุ่นทางด้านค่าใช้จ่ายในการลงทุน และพร้อมต่อยอดไปเป็นระบบ Hybrid Cloud
- สามารถเพิ่มเติมเทคโนโลยีในการรักษาความปลอดภัยแบบ Virtual ได้อย่างอิสระ
ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับ DR หน่อยครับ
หรือช่วยร่างการติดตั้งระบบสำรองให้หน่อยครับ
ขอบคุณครับ